(Thai and English)
ทำงาน พ่อใหญ่วอ- สู้ COVID-19 แล้วให้นึกถึงงานโอ้ละหนอมายเลิฟของพี่เบิร์ดที่ทำตั้งแต่สมัยละอ่อนน้อย มือ MV ไม่อยากจะคิดว่ากี่ปีผ่านไป นับได้ตั้งแต่สมัยระบบโทรทัศน์ทั่วโลกยังเป็น SD TV อยู่เลย และระบบการถ่ายทำภาพยนตร์และโฆษณาก็ยังถ่ายฟิล์มเป็นหลัก ทั้ง 16 และ 35 มิลลิเมตร
I've just work the promotion job of "how to deal with the COVID-19" and saw some shots looks like my job when I was a junior colourist. They still working on the negative films both 16 and 35 milimatre negative at that moment.
งานพ่อใหญ่วอ สู้โคโรนา Covid-19 (2021) ถ่ายทำด้วยกล้อง Blackmagic Pocket4K, Sony A-7 และ stock footage เกรดสีบน DaVinci Resolve 17
Covid-19 job shots with Blackmagic Pocket4K and Sony A7 and some stock footage. Colour grading on the DaVinci Resolve 17.
งานโอ้ละหนอมายเลิฟ(2008) ของพี่เบิร์ด ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 16 มิลลิเมตร ภาพทั้งหมดเกรดสีบน Pogle Pandora โปรแกรม ไม่มีการใช้เอฟเฟกต์ใดๆ ช่วยในการแก้สี นอกจากฟิลเตอร์ BSM 2 ใน Spirit Scanner เท่านั้น
"Oh la nor my love" job from Bird Thongchai Mcintyre with 16 mm. negative. Colour grading on the Pogle Pandora grading program. No any effect just BSM. 2.0 filtered on the telecine gate.
สมัยนั้นเป็นยังเป็นการเกรดสีจากฟิล์ม ผ่านเครื่องเทเลซีน
เครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้นสามารถสแกนฟิล์มได้เพียงแค่ 2K เท่านั้น
และโปรแกรมแก้สีรวมถึงฮาร์ดแวร์ราคาแพงมากกกกกก
มีเลเยอร์ให้ใช้อย่างจำกัดและบังคับขั้นตอนการใช้ (fixed layers & functions)
วิธีคิดและขั้นตอนการทำงานต้องถูกต้องเท่านั้น ถึงจะได้ผลลัพท์ที่ต้องการ
นี่เป็นขั้นตอนจากเครื่องและโปรแกรม Pogle Pandora ที่เป็นเครื่องแก้สีเช่นเดียวกับดาวินชีในสมัยฟิล์ม
เริ่มจากปรับตั้ง บาลานซ์จากสแกนเนอร์
บาลานซ์ขั้นที่สองจากโปรแกรม
ขั้นตอนต่อจากนี้จะเป็นการทำงานที่คล้ายกับการใช้ curve ในดาวินชีรีโซฟ เพื่อบิดสีหรือเพิ่ม Saturation ชุดนี้จะมี 6 ช่องสีการทำงาน ที่เตรียมไว้ให้สำเร็จรูปแล้วไม่สามารถจะเปลี่ยนช่วงใช้ค่าสีได้ คือ Red, Green, Blue, Magenta, Yellow, Cyan ตามสีที่เซ็ตไว้
ต่อมาเป็น Six Vector ซึ่งยังเห็นอยู่ในโปรแกรมแก้สี Baselight ในปัจจุบัน ใช้เพื่อเลือกสีส่วนที่ต้องการ และปรับแก้เฉพาะส่วน วิธีทำงานภายในจะคล้ายๆ กับการเรียงโนดแบบ Parallel และ Layer Mixer ใน ดาวินชี รีโซฟปัจจุบันอย่างละชุด ชุดละ 3 ชาแนล
สุดท้ายจะเป็น Window in/out
ทั้งหมดนี้ต้องทำงานให้จบให้ได้ ลูกค้าพอใจด้วย
At that moment we still colour grading from the negative via telecine scanner. The very modernest equipment at that time can just 2K scaned size. The cost of having a set of telecine was very big budget and also the size of computer cards.
There were limited and fixed function layers to work with, so, the colourist must have some work processes in their head before job start for correct and best result of what clients wants.
These are all layers and functions that was worked at films eras:
Basic balance from scanner
Secondary balanced inside the Pogle
There were some function like curve from the DaVinci Resolve now for changing Hue and Saturation, 6 layered such as Red, Green, Blue, Magenta, Yellow and Cyan.
Six Vector, I still see this function in the BaseLight form Filmlight now. These were qualifier layer function with 2 set of it.
And then, the In/Out window.
Colourist from films eras need to pleased their clients with these kind of fix and limited layers.
เครื่องสแกนเนอร์ Spirit Datacine / Spirit DataCine scanner
พาแนลเกรดสีของ Pogle Pandora / Pogle Colour Grading Panel
การจะขึ้นเป็นคนทำในสมัยนั้นได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเครื่องมือทั้งหมดในห้องโพสต์ ตั้งแต่ระบบเทป การต่อสาย แปลงสาย ใช้เครื่องเล่นเทปชนิดต่างๆ ให้คล่อง
ตามมาด้วยการไปเสนอตัวเป็นผู้ช่วยห้องที่ตัวเองหมายตาไว้ให้ได้ จะด้วยวิธีการใดๆ ก็ต้องทำให้เค้ารู้สึกว่าเราทำได้และจำเป็น ขอไปนั่งดู นั่งชม เลียบๆ เคียงๆ ขอแอบจับเครื่องบ้าง ขอโหลดฟิล์มให้บ้างจนเค้าไว้ใจให้จับทั้งฟิล์มและเครื่องได้ตามสบาย 😊 แฮร่...
พอเริ่มทำได้ประมาณนึง ก็ต้องหัดแก้งาน หรือเกรดชอตเพิ่มตามเกรดซีเนียร์ในงานนั้นๆ ให้ได้ การเกรดสีตามงานที่ซีเนียร์ทำไว้ ถือเป็นการอ่านวิธีคิดของเจ้าของงานเอาไว้แปลงเป็นวิธีคิดตัวเองได้ด้วย
หลังจากนั้นจะเริ่มได้เก็บงานอย่างนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ จนลูกค้าเริ่มไว้ใจและได้เริ่มทำ One-Light grade
ถามว่า One Light grade คืออะไร ต้องเกริ่นนำซะหน่อยว่าในสมัยนั้น การถ่ายทำทำโฆษณาด้วยฟิล์ม จะไม่ได้ตัดต่อด้วยการตัดฟิล์มแล้ว แต่จะเป็นการตัดต่อแบบใช้โปรแกรมตัดต่อแล้ว ส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็น Avid Composser ซึ่งต้องใช้ฟุตเทจที่มีการแปลงสัญญาณเข้าสู่ระบบเทปเพื่อไปใช้ในการตัดต่อ เนื่องจากในการถ่ายทำจะมีหลายเทค เทคดี เทคเสีย และเทคที่สุดท้ายแล้วจะไม่ใช้ เป็นต้น ลูกค้าจึงไม่ต้องการเสียเงินแพงๆ เพื่อทำงานทั้งหมดที่มีให้เนี้ยบตั้งแต่ต้น เพราะจะเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากเกินไป One Light grade จึงคล้ายๆ กับ DIT ในสมัยนี้ที่เป็นการแปลงภาพจากฟิล์มเป็นสัญญาณไฟฟ้าลงเทปซึ่งส่วนใหญ่เป็น Beta SP เพื่อส่งต่อให้กับห้องตัดต่อ
เมื่อตัดเสร็จแล้ว ห้องตัดต่อจะส่งตัวอย่างงานพร้อมด้วย EDL (Edit Decision List) กลับมาให้ห้องโพสต์ เพื่อเลือกใช้ช่วงที่ต้องการมาทำงานให้สวยเพื่อเป็นงานไฟนัลต่อไป เรียกว่า Full Grade และบันทึกลงเทป Digital Beta SP หรือ D1 ในสมัยที่เราทำงาน
คนทำ One Light จึงต้องแสดงฝีมือให้เต็มที่ เพื่อสแดงให้ลูกค้าเห็นว่าตัวเองทำงานได้สวย และสามารถขึ้นมาเป็นคนทำ Full Grade ได้ ส่วนใหญ่จะต้องสวยสุดจนบางครั้งก็จะมีคำว่า Best Grade เพื่อเป็นจุดตรงกลางระหว่าง Full Grade และ One Light สำหรับลูกค้าที่งบไม่มากพอจะทำ Full Grade แต่ก็อยากได้งานที่มีการปรับแก้มากกว่า One Light และเร็วกว่าการทำ Full grade แต่คนทำก็ต้องแสดงฝีมือให้ดีที่สุดเพื่อที่จะได้ไต่ระดับขึ้นไปทำงานที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
MV สมัยนั้นจะเป็นการบันทึกลงเทป Beta SP ตัดเสร็จแล้วออกอากาศเลย และจัดอยู่ในประเภทของ Best Grade คือ เอาสวย แปลก เร็ว และราคาดี ไม่ต้องเนี้ยบมาก แต่ขอสวยและไอเดียดี จูเนียร์ในสมัยนั้นต้องพยายามทำ MV ให้สวย และแปลก เนื่องจากลูกค้าอุตส่าห์ถ่ายฟิล์มมาแล้ว เค้าจึงต้องการความสวยงานที่เกินจริงด้วย จะเห็นได้ว่า MV ยุค 90' จึงมีการวางสีน้ำหนักและโทนภาพออกจะแฟนตาซีกันซะส่วนมาก
นอกจากลูกค้าจะได้งานเกินจริงกลับไปแล้ว สิ่งที่คนทำในสมัยนั้นได้ คือ ไอเดียในการสร้างสรรค์ผลงานแปลกใหม่ เข้าใจเครื่อง เข้าใจสี และรู้วิธีปรับใช้เครื่องมือแก้สีในงานจริงที่ไม่ค่อยได้ทำในงานโฆษณา แต่แอบเอาไอเดียเล็กๆ ไปใส่ได้และทำให้งานมี "อะไร" ขึ้นมาก
The way to be a colourist was to find the way to work in the production house company first. Afterthat, we neel to know the tape machine room system that was having so many broadcast system to learn such as analogue/ digital system, tape system and how to managed all the equipments.
Next, you need to find what machine you want to work with and find the way to introduce yourself to senior staff of the department you like. Try to be his assistant in anyway you think the senior would accept you. For me, I had tryed to sit in with senior colourist when he had jobs and helped him do everythigns I could do also loading the film negative to scanner, basic set-up the project for him and tryed to do everythings that help the jobs flowed.
As the telecine assistant, I had the right to touch and practice the machine and program. I was always practice with the machine when I was having free time (no jobs). Find some old senior's jobs and follow the grad without seeing his setup until I felt comfortable and convenient with all the equibments.
The Onelight grading jobs started as the first step job to transfer jobs to tape cassettes with basic balance grading myself. If you did it well there will be mome jobs come to you more and more.
What is onelight job process?
In the time in the middle between analoge and digital process, we will not cut the negative for editing for not make the footages damage, so, we will transfered the jobs to tape such as Betacam SP with timecode for editing. This process in post was called "onelight". Mostly telecine junior or assistant run these kind of job to gain more experiences for them. This process was gain more basic and normal balanced for colour correction and let the junior/assistant get use to all of equipments.
If the junior did it well, the "fullgrade" process opportunity wold be opened. This process wold be final grading of colour grading process. All the layers and functions were used in this process. This process mostly transfered to D1 or Digital Betacam SP in my time.
There was one more process in the middle that was call "best light" grade. This process was for limited budget jobs but need a bit better colour quality than the onelight grade. The junior shold passed these process before facing the fullgrade process.
Music Video were in this process and opened the juniors the ideas and skills. 90's era's job would love the changed every colour in frame for more attached with the audiences. The jobs need to goes so far from normal colour that the colourist should play with it and they will gets more and more ideas of working.
เซ็ตทำงานโปรแกรม DaVinci Resolve + Mac Pro + Advance Panel บนระบบ HDR
The new set of DaVinci Resolve colour grading program + Mac Pro + Advance Panel on HDR grading system.
มาถึงยุคปัจจุบันที่กล้องดิจิทัลมีหลายประเภทมากมาย และเครื่องมือก็มีราคาถูกลง ขนาดเครื่องมือก็เล็กลงมากอย่างที่ไม่สามารถคาดเดาได้ในยุคก่อนหน้านี้เลย ดังนั้น เด็กรุ่นใหม่จึงมีโอกาสสัมผัสโปรแกรมและเครื่องมือขึ้นมาก งาน พ่อใหญ่วอ-โควิด19 ถ่ายทำด้วยกล้อง Blackmagic Pocket 4K และ Sony A-7 รวมถึงฟุตเทจเก่าอีกนิดหน่อยเพื่อสร้างการตระหนักรู้ว่าเรายังต้องระวังโรคโควิด 19 สายพันธุ์ใหม่ต่อไปอีก ต้องล้างมือ สวมมาส์กให้เป็นนิสัยต่อไป
การทำงานก็ง่ายขึ้นมาก สามารถส่งงานทางเน็ตได้ การรับงานก็ง่ายขึ้นมาก ใครๆที่ใช้โปรแกรมเป็นก็รับงานได้ จะทำงานที่ไหนก็ได้ บนไฟล์ที่ตัดต่อเรียบร้อยแล้ว ทำให้เห็นภาพรวมของงานมากขึ้น ก็จะสร้าง mood&tone ได้ง่ายขึ้น มีเครื่องมือให้ใช้งานได้มากขึ้น ฟังก์ชันการทำงานมากขึ้น ตัวช่วยในการทำงานมากขึ้น มีเอฟเฟกต์พิเศษช่วยในการทำงาน และ LUTs ช่วยในการเกรดสีให้ง่ายขึ้น หรือถ้าเป็น Creative LUTs ก็ช่วยลดขั้นตอนการเกรดสีได้มากขึ้นโดยไม่ต้องคิดวิธีและขั้นตอนการทำงานเลย
แต่สิ่งที่ยังคงจำเป็นอยู่ ก็คือ การสื่อสารที่ดีกับลูกค้าและผู้ร่วมงานเพื่อให้เข้าใจเนื้องานและสามารถทำงานตามความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุด ต่อมา ก็คือ ความเข้าใจเครื่องมือทำงานและโปรแกรม เพื่อให้การสร้างสรรค์ชิ้นงานเป็นไปได้อย่างราบรื่นและสวยงาม สามารถปรับใช้และพลิกแพลงวิธีการทำงานได้อย่างลื่นไหลซึ่งมาจากการฝึกการใช้งานเครื่องจนเข้าใจฟังก์ชันใช้งานที่สำคัญและใช่บ่อยได้อย่างชำนาญ เพื่อพัฒนาผลงานให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
ถ้าจะให้ดี เราต้องมี mindset ที่ดีด้วย คิดไว้เสมอว่าคนที่เอางานมาให้เราทำเค้าต้องอยากได้ผลงานที่ดีกว่าภาพสดๆ จากการถ่ายทำ ถ้าถ่ายมาไม่ดีเท่าไหร่ก็คือเค้าต้องการความช่วยเหลือจากเราด้วย การแก้ปัญหาจะทำให้เราสร้างสรรค์เก่งด้วย เพราะปัญหาที่มามักจะไม่ค่อยเหมือนกันทำให้ต้องหาวิธีช่วยเหลือทำให้ชิ้นงานดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และเป็นที่พอใจของลูกค้าด้วย ความขุ่นข้องหมองใจใดๆ ที่เรารู้สึกจะแอบโผล่มาในชิ้นงานนั้นด้วย เราจึงควรต้องทำใจให้สบายและมีความสุขที่สุดเมื่ออยู่หน้างานและทำงาน โดยเฉพาะต่อหน้าลูกค้า นอกจากจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าแล้วยังทำให้ชิ้นงานของเรามีความสุขกระจายออกมาด้วย
ขอให้ทำงานกันอย่างมีความสุขค่ะ 😊
There are much more super powerful equipments in this digital era. It's cheaper and smaller than ever. Everyone have a chance to try it. My Covid-19 job clip were shot by Blackmagic Pocket 4K and Sony A7 for educate the audience to be careful and protect theirselves from this illness.
Woking process also a lot more easier, files can be upload and download by clouds, so we can work everywhere with the internet. Easier to create mood&tone, function of working, FX for helping our jobs and also the creative LUTs to create creative grade and cut-off the process of working without grade-it-yourself process.
Anyway, we still need the skill of good communication between clients and teams for go to the same way with them and then improve our skills and understanding tools of working for better results. The abilities to applied the skill is from skillful of praticing and understanding how the program is.
Good mindset is also make our heart good too. We will want to make to jobs as good as we can and better fixed all the problems for clients. The better the problems fixed, the much more skillful we'll get. Happy mind also make our jobs go through and flow with happiness environment and images.
Have a nice work day.
Comments